ดูบทความ
ดูบทความไปดูบอลที่โกเบ กับ Festival Holiday
ไปดูบอลที่โกเบ กับ Festival Holiday
ไปดูบอลที่โกเบ
กับ Festival Holiday
เรื่องและภาพโดย : ไกรศร วิจารย์ประสิทธิ์
เรียบเรียง : ดวงพร เพชรสังกฤต
ต้องยอมรับว่าทั้งนารา เกียวโต โกเบเป็นบรรดาเมืองที่คนไทยไปบุกกันมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลุยทุกสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมกันมาจนครบ เพราะฮิตเหลือเกินและก็ฮิตกันมาหลายสิบปี แต่แปลกที่ยังอยากกลับไปเที่ยวอยู่เสมอไม่มีเบื่อ พื้นที่แถบคันไซมีเสน่ห์จากความเป็นเมืองเก่าค่อนข้างมาก อดีตเมืองหลวงทั้งสองแห่งอย่าง “นารา” (Nara) และ “เกียวโต” (Kyoto) เที่ยวตอนไหนฤดูใดก็ยังรู้สึกดี รวม “โกเบ” (Kobe) ของจังหวัดเฮียวโกะ (Hyogo) เข้าด้วยก็ยังลงตัวด้วยความที่มีพื้นที่ใกล้กัน
แต่สำหรับทริปล่าสุดนี้ “คุณคมสัน ประสมศรี” ผู้บริหาร “Festival Holiday” กำลังทำให้การเที่ยวนารา เกียวโต โกเบมีสีสันขึ้นอีกมาก เพราะเราได้รับเชิญให้ร่วมทริปโดยมีไฮไลท์หลักเป็นการเดินทางสู่สนามฟุตบอล “Noevir Stadium Kobe” เพื่อชมการแข่งขันฟุตบอล “J1 League” ในฤดูกาล 2018 ซึ่งเป็นนัดที่ 15 โดยมีเจ้าถิ่น “วิสเซล โกเบ” (Vissel Kobe) ทีมอันดับ 7 ของตารางเปิดบ้านรอฟาดแข้งกับ “คอนซาโดเล ซัปโปโร” (Consadole Sapporo) ทีมอันดับ 3 ของตารางที่มาพร้อมสถิติยังไม่แพ้ใครในลีกมาถึง 11 นัดติดต่อกัน
เหตุผลที่ฟุตบอลนัดนี้น่าชมสำหรับคนไทยมากก็เพราะเป็นเกมที่สองนักเตะชื่อดังชาวไทยมีโอกาสได้ลงเล่นเป็นตัวจริงทั้งคู่ คือ อุ้ม ธีราทร บุญมาทัน จากวิสเซล โกเบ ที่มาด้วยสัญญายืมตัวจากสโมสร “เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด” (SCG Muangthong United) และ เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์ จากคอนซาโดเล ซัปโปโร แต่นัดนี้เจ้าถิ่นเหนียวกว่าเยอะ แถมทีมเยือนยังเสียผู้เล่นไป 1 คนจากการถูกใบเหลืองที่ 2 ทีมเยือนจึงโดนยำไป 4-0 เป็นอันสิ้นสุดการแข่งขัน
กีฬาก็คือกีฬา ลูกกลมๆ กลิ้งไปมาผลการแข่งขันจึงมีโอกาสแพ้ได้ชนะได้เป็นธรรมดา ที่เหนือกว่าเกมคือเราได้มาชมบรรยากาศของกองเชียร์ชาวญี่ปุ่นทั้งจาก 2 ทีมจนอดคึกคักตามเขาไปด้วยไม่ได้ แต่ก็ยังคงความเป็นชนชาติแห่งการมีระเบียบวินัยเพราะมีรูปแบบการเชียร์ที่สุภาพเรียบร้อย ที่น่ายินดีสำหรับนักเตะไทยของเราทั้งสองคนก็คือได้รับความนิยมจากแฟนฟุตบอลชาวญี่ปุ่นอย่างมาก ทั้งรอขอลายเซ็นและคอยถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันอยู่ตลอด รวมถึงสินค้าที่ระลึกที่ผลิตออกมาสำหรับแฟนๆ ที่ชื่นชอบอุ้มและเจโดยเฉพาะก็มีหลายชิ้น เรียกว่าโด่งดังไม่เบาเหมือนกัน
นอกเหนือจากฟุตบอลเรามาดูสนามแข่งขันครั้งนี้กันหน่อย “Noevir Stadium Kobe” เป็นสนามเหย้าของทีมฟุตบอลวิสเซล โกเบ สนามแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองโกเบ เดิมมีชื่อ “Kobe Wing Stadium” ซึ่งเคยใช้แข่งขันฟุตบอลโลกปี 2002 มาแล้ว ช่วงฟุตบอลโลกปีนั้นสนามสามารถจุผู้ชมได้ถึง 42,000 ที่นั่ง แต่หลังการแข่งขันฟุตบอลโลกผ่านไปสนามถูกปรับให้เหลือ 30,132 ที่นั่งเพื่อปรับปรุงให้จุดที่เคยเป็นที่นั่งกลายมาเป็นจุดติดตั้งหลังคาเปิดปิดได้เพื่อความสะดวกเข้าชมการแข่งขันในแต่ละฤดูกาล
บริเวณพื้นที่ของสนามจะมีการบันทึกรอยเท้าของเหล่านักเตะแต่ละยุคที่สร้างผลงานยอดเยี่ยมให้แก่ทีม มีห้องแสดงประวัติความเป็นมาของทีมและรวมประวัติการใช้งานของสนามแห่งนี้ซึ่งแน่นอนว่าการแข่งขันฟุตบอลโลกจนถึงฟุตบอลนัดสำคัญอื่นๆ จะถูกบันทึกไว้ที่นี่ด้วย อย่าลืมแวะชมและเลือกซื้อสินค้าที่ระลึกจากทีมวิสเซล โกเบ ซึ่งมีทั้งเสื้อ หมวก ลูกฟุตบอล เข็มกลัด และอีกมากมาย
Kobe Festival
เป็นจังหวะดีๆ ของการเดินทางมาเที่ยวโกเบครั้งนี้ที่แม้เราจะวางเป้าไว้ที่การชมฟุตบอล แต่สิ่งที่ได้มาเหมือนเป็นของแถมก็คือการได้ชม “เทศกาลโกเบ เฟสติวัล” (Kobe Festival) ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 48 โดยจะจัดในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์เพียงแค่ 2 วันเท่านั้น ความสนุกของเทศกาลนี้คือการจัดขบวนพาเหรดในบริเวณย่านซันโนมิยะ (Sannomiya) และแถบท่าเรือโกเบ (Haborland) ช่วงใกล้ 11 โมงเช้าเราจะเห็นได้ว่ามีชาวโกเบรวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติมาจับจองที่นั่งริมข้างทางเพื่อรอชมขบวนพาเหรดที่ว่านี้จนเต็มพื้นที่ ชาวโกเบถือเป็นงานใหญ่ประจำเมือง และรูปแบบงานที่จัดออกมาก็โน้มเอียงไปทางตะวันตก คล้ายงานคาร์นิวัลของบราซิล นักแสดงในขบวนพาเหรดจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสฉูดฉาดแล้วเต้นกันสุดตัว ถือเป็นงานเทศกาลที่จัดกันกลางเมืองอย่างสนุกสนานและมีให้ชมเป็นประจำทุกปี
Kobe Chinatown
ที่ไหนๆ ก็มีไชน่าทาวน์ โกเบก็มี “โกเบ ไชน่าทาวน์” (Kobe Chinatown) พื้นที่ที่จะแน่นขนัดไปด้วยนักท่องเที่ยวเพราะย่านนี้อาหารการกินเยอะแยะไปหมดทั้งขนมจีบ ซาลาเปา บ๊ะจ่าง บะหมี่ เป็ดย่าง สีแดงสดจากวัสดุต่างๆ ถูกประดับประดาทั่วบริเวณ ได้บรรยากาศมากจนเกือบลืมไปว่ากำลังเดินอยู่ในย่านถนนคนเดิน “นันกิงมาจิ” (Nankinmachi) ในเมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น
เราเดินเที่ยวโกเบ ไชน่าทาวน์ได้ตลอดเวลาเพราะมีหลังคาปิดช่วยให้สะดวกในการเดินเล่นแม้จะมีฝนตก นันกิงมาจิเป็นชุมชนชาวจีนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคคันไซ ริเริ่มขึ้นตั้งแต่โกเบเปิดประตูให้พ่อค้าชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันตั้งแต่ปี 1868 ตามประวัติศาสตร์เล่าว่า “นันกิงมาจิ” เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อให้สื่อถึงความเป็นชนชาติจีนเพราะเลือกให้ชื่อพ้องกับ “นานกิง” (Nanjing) ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศจีนนั่นเอง
Kiyomizu Temple
มาถึงโกเบก็ต้องขยับมา “เกียวโต” ที่อยู่ไม่ห่างกันนัก ขอแวะอัพเดท “วัดคิโยมิสึ” (Kiyomizu Temple) มรดกโลกชิ้นสำคัญของญี่ปุ่นที่สวยงามทุกฤดูกาลและคนไทยค่อนประเทศรู้จักกันดีในชื่อ “วัดน้ำใส” บรรยากาศอาจแตกต่างกันไปตามแต่ฤดูกาล แต่ที่เหมือนกันทุกวันทุกเดือนทุกปีและทุกครั้งที่มาก็คือปริมาณนักท่องเที่ยวที่ไม่เคยน้อยลง แน่นทุกจุด พลุกพล่านทั่วพื้นที่ และก็แน่นขนัดมาตั้งแต่ถนนสายช้อปปิ้งทางด้านหน้าก่อนเข้าสู่ภายในวัดแล้ว
วัดคิโยมิสึสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 780 เป็นการสร้างตัวอาคารหลักอยู่บนหน้าผาสูงจากพื้นด้านล่างมากกว่า 10 เมตรด้วยไม้ขัดกันโดยไม่มีตะปูยึดตัว มีระเบียงยื่นออกไปซึ่งใช้เป็นพื้นที่จัดแสดงการร่ายรำถวายสักการะแด่เทพเจ้าและเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้วัดคิโยมิสึได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก้ ปัจจุบันกลายเป็นจุดชมวิวไปโดยปริยาย ส่วนพื้นที่ด้านล่างวัดมีสิ่งที่ทำให้คนไทยพากันเรียกวัดคิโยมิสึว่าวัดน้ำใส นั่นคือการที่มีสายน้ำจากน้ำตกโอโตวะไหลผ่านลงมาจากที่สูง ไหลลงมาจนถึงวัด เชื่อกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่นักท่องเที่ยวมักต่อคิวยาวเหยียดเพื่อรองน้ำมาดื่มเพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่ชีวิต
Kinkakuji Temple
เกียวโตยังมี “วัดคินคะคุจิ” (Kinkakuji Temple) สถานที่ในยุคแรกๆ ที่คนไทยรู้จักเมื่อเอ่ยถึงญี่ปุ่นและมักเรียกกันว่า “วัดพลับพลาทอง” (Golden Pavilion) ส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไทยรู้จักวัดแห่งนี้ก็เพราะคุ้นตาจากที่เคยเห็นในการ์ตูนอิกคิวซังเนื่องจากเป็นปราสาททองของท่านโชกุน “อาชิคาเกะ โยชิมิสึ” (Ashikage Yoshimitsu) นั่นเอง และหากมาถึงเกียวโตแล้วไม่ได้แวะมาที่วัดแห่งนี้ก็ไม่น่าจะได้ชื่อว่ามาถึงเกียวโตอย่างแท้จริง
วัดคินคะคุจิสร้างเมื่อปี 1397 จุดเด่นที่เป็นภาพจำของชาวโลกคือวิหารสีทองสูง 3 ชั้นสวยงามกลางสระเคียวโคจิ (Kyokochi) หลังสิ้นสุดสมัยโชกุนโยชิมิสึแล้ววัดแห่งนี้ตกเป็นสมบัติของทายาทรุ่นถัดมา ก่อนจะถูกถวายให้กลายเป็นสมบัติของ “วัดโรคุอนจิ” (Rokuonji) แต่น่าเสียดายที่ในปี 1950 อาคารวัดถูกวางเพลิงจนเสียหาย มาสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งในปี 1955 และเติมทองลงบนผนังในปี 1987 จนสวยงามมาอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
Fushimi Inari Shrine
คิดว่าวัดคิโยมิสึมีผู้คนมากมายแล้ว “ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ” (Fushimi Inari Shrine) ก็ดูจะไม่น้อยไปกว่ากันตามประสาสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง จุดเด่นสำคัญของศาลเจ้าแห่งนี้คือการมีเสาโทริอิสีแดงส้มเรียงรายต่อกันยาวกว่า 4 กิโลเมตร และเพิ่มระยะไกลออกไปเรื่อยๆ เสาแต่ละต้นนำมาจากพลังแห่งการทำบุญของกลุ่มบริษัทเอกชนและองค์กรต่างๆ ทั่วญี่ปุ่น เห็นชัดว่าเสาแต่ละต้นจะมีตัวหนังสือจารึกไว้ นั่นคือชื่อของบรรดาผู้ประกอบการเจ้าของเงินทำบุญนั่นเอง
ศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ เป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโต จุดประสงค์ในการสร้างคือเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งการเกษตร ก่อนเข้าสู่ภายในศาลเจ้าเราจะมองเห็นรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกที่ตามความเชื่อคือจะเป็นผู้นำคำอธิษฐานของผู้ศรัทธาไปถวายแด่องค์เทพ ชาวไร่ชาวนาในอดีตจะพากันมาขอพรให้ครอบครัวมีความสุข มีกินมีใช้ ขอให้มีน้ำท่าพอเพียงในการทำไร่ไถนา ปัจจุบันศาลเจ้าแห่งนี้ก็ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีจากรัฐบาล และยังเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเกียวโตอีกด้วย
Todaiji Temple
จากเกียวโตเรามากันต่อที่ “นารา” (Nara) เมืองหลวงเก่าแห่งแรกของญี่ปุ่นเพื่อสักการะหลวงพ่อโต (Daibutsu) ที่ “วัดโทไดจิ” (Todaiji Temple) หลวงพ่อโตแห่งวัดโทไดจิ เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่สูง 16 เมตร หนัก 500 ตัน เป็นพระต้นแบบของพระใหญ่เมืองคามาคุระ เมื่อสร้างองค์พระขึ้นแล้วจึงสร้างวิหารไม้หลังใหญ่ครอบไว้เมื่อปี 752 ซึ่งก็น่าจะเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย
ความสวยงามเก่าแก่และยิ่งใหญ่ทำให้วัดโทไดจิได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก หลังจากเข้าไปนมัสการองค์พระแล้วนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักชมเสาไม้ต้นใหญ่ทางด้านหลังองค์พระที่แปลกกว่าที่ไหนๆ เพราะแม้จะเป็นเสาต้นใหญ่จากไม้ทั้งต้นแต่ก็เจาะส่วนฐานไว้ให้เป็นช่องขนาดแค่พอให้ลอดผ่านได้ กลายเป็นสีสันให้นักท่องเที่ยวทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กเข้าแถวลอดผ่านช่องว่างนี้ ด้วยเชื่อว่าจะเป็นสิริมงคลและยังสะท้อนภาพของความพยายามในการที่จะนำพาตัวเองผ่านจากอุปสรรคมาให้ได้ คล้ายกับที่เราทุกคนต้องนำพาชีวิตไปสู่จุดที่มีคุณภาพและมีความสุขให้ได้ด้วยความพยายามของตัวเอง
Nara Park
ไปปิดทริปกันแบบประทับใจด้วยการไปพบเจ้าถิ่นแห่งเมืองนาราที่ “สวนนารา” (Nara Park) ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นกวางภายในสวนชื่อดังของเมืองที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระ เดินไปมาเป็นสีสันทั้งกับชาวญี่ปุ่นเองและนักท่องเที่ยวต่างชาติ สำหรับนาราแล้วกวางถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง ทั่วทั้งเมืองมีกวางอยู่ราว 1,200 ตัว และน่ารักทุกตัวจนเราสามารถเข้าใกล้ได้ แตะตัวได้ และป้อนอาหารได้อย่างสนุกสนานเพราะคุ้นเคยกับคนมาก
แม้กวางภายในสวนจะแสนรู้ แต่ก็ต้องระมัดระวังกวางบางตัวที่อาจจะหิวจนกินไม่เลือก ทั้งแผ่นกระดาษที่อยู่ในมือ ซองขนม บ้างก็เข้ามาขอของกินจนถึงขนาดคาบชายเสื้อหรือกระเป๋าเราก็มี ด้วยความเชื่อว่ากวางเป็นสัตว์บริวารของเทพเจ้า จึงไม่มีใครทำร้ายและปล่อยให้อยู่ร่วมสังคมกับมนุษย์ได้ จำไว้ว่ามานาราต้องเจอกวาง ไม่ว่าจะเป็นในสวนสาธารณะหรือวัด ถ้าไม่เจอกวางแสดงว่าคุณอาจไปเที่ยวผิดเมืองแล้วก็ได้
เที่ยวสถานที่เดิมๆ ที่เคยเที่ยวมาแล้ว แต่กลับสนุกและมีสีสันขึ้นมากเพราะเป็นทั้งทริปท่องเที่ยวและทริปชมฟุตบอลงานนี้ต้องขอบคุณ Festival Holiday ในการจัดโปรแกรมเที่ยวกันสนุกๆ ไม่รีบไม่ร้อน สะดวกสบายด้วยการแวะชมกีฬาในแบบที่เราไม่ต้องยุ่งยากในการวิ่งวุ่นจองตั๋วด้วยตัวเอง เอาเป็นว่ารอบหน้าถ้าได้ยกขบวนไปเที่ยวไปชมกีฬาที่ไหนจะรีบนำกลับมาเล่าให้คุณผู้อ่านฟังอย่างแน่นอน
Special Thanks
Scan QR Code เพื่อรับชม VDO Kyoto Nara Kobe << หรือคลิ๊กที่นี่เลย
ติดตามชมวิดีโอและหาทัวร์เที่ยวได้ทาง Youtube ช่อง ChecktourChannel << คลิ๊กเลย
25 กรกฎาคม 2561
ผู้ชม 2410 ครั้ง